วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2559

หอไอเฟล

 หอไอเฟล (ฝรั่งเศส: Tour Eiffel, ตูแรแฟล) หอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนช็องเดอมาร์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย
หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ กุสตาฟ ไอเฟล ผู้เป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของฝรั่งเศส หอไอเฟลถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานแสดงสินค้าโลก ในปี ค.ศ. 1889 (Exposition universelle de Paris de 1889) หอคอยสูงงดงามแห่งนี้เป็นดาวเด่นที่สร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงาน ซึ่งต่อมาได้รู้จักในนามหอไอเฟล นับตั้งแต่นั้นได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส และในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้[ต้องการอ้างอิง] และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง[ต้องการอ้างอิง] ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลสูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) หรือสูงเท่ากับตึก 81 ชั้น
เมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนที่อนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2473(ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดในกรุงปารีส[6] และหากไม่นับรวมเสากระจายคลื่น หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดอันดับสองในฝรั่งเศส รองจากสะพานมีโย
Tour Eiffel Wikimedia Commons.jpg

โครงสร้าง
หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบนนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น ในขณะที่ก่อสร้างปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดบนโลก โดยถูกล้มตำแหน่งเมื่อเมืองนิวยอร์กได้สร้าง ตึกไครส์เลอร์ สูง 319 เมตร (1047 ฟุต)
น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300 ตัน และถ้ารวมทั้งหมดก็เป็น 10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ชั้น




แหล่งที่มา




นครวัด


นครวัด (เขมรអង្គរវត្ត) เป็นศาสนสถานตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยเป็นศาสนสถานประจำพระนครของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันนับตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่เดิมนครวัดเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดู ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา โดยปรากฏในธงชาติ และเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของประเทศ ตลอดจนได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ เมืองพระนคร
ปราสาทนครวัดได้เริ่มสร้างในกลางพุทธศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพื่อบูชาแด่พระวิษณุหรือ พระนารายณ์ ในปี พ.ศ. 1720 ชาวจามได้บุกรุกขอม ทำให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ต้องย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองนครหลวง หรือ เสียมราฐ ในปัจจุบัน หลังจากนั้น พระองค์จึงสร้างเมืองนครธม และ ปราสาทบายน ห่างจากปราสาทนครวัดไปทางเหนือ เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของชาวขอม
ในปี ค.ศ. 1586 (พ.ศ. 2129) ได้มีนักบวชจากโปรตุเกส นามว่า อันโตนิโอ ดา มักดาเลนา เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่ได้ไปเยือนปราสาทนครวัด แต่ที่จะถือว่าเป็นการเปิดประตูให้แก่ปราสาทนครวัดสู่สายตาชาวโลกนั้น คือการค้นพบของ อองรี มูโอต์ นักสะสมแมลงและนักสำรวจชาวฝรั่งเศส เมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้วมา ที่จริงชาวกัมพูชาไม่เคยละทิ้งนครวัดไปเพราะหลังจากมีการย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่พนมเปญแล้ว ชาวบ้านก็ได้เขาไปตั้งรกรากภายในเขตนครวัดเรื่อยมา ปราสาทนครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างในยุคสิ้นสุดของราชอาณาจักรขะแมร์ โดยมีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก
Buddhist monks in front of the Angkor Wat.jpg

ขนาดและการก่อสร้าง

ปราสาทนครวัดมีขนาดใหญ่มากถึง 200,000 ตารางเมตร สูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของ มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล มีกำแพงด้านนอกยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร มีคูน้ำล้อมรอบตามแบบ มหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบ
ใช้หินรวม 600,000 ลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานช้างกว่า 40,000 เชือก และแรงงานคนนับแสนขนหินและชักลากหินมาจากเขาพนมกุเลน ชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร มาสร้าง
ปราสาทนครวัด มีเสา 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10 ตัน ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ใช้ช่างแกะสลัก 5,000 คน และใช้เวลาถึง 40 ปี
หอสูง 60 กว่าเมตรศูนย์กลางของกลุ่มปราสาท อันเปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาลนั้น มีทางเดินขึ้นที่ชันมาก ราว 50 องศา แต่ก็กลับเป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยจะต้องปีนขึ้นไปและไต่ลงมา ที่จุดบนสุดของหอนี้จะมองเห็นวิวที่สวยสุดของปราสาท





แหล่งที่มา

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี


สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี

สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2423 (ค.ศ. 1880) ในชื่อทีม เซนต์มากส์ (เวสต์กอร์ตัน) โดยมี แอนนา คอนเนลล์ และ ผู้ดูแลโบสถ์ เซนต์มากส์ อีก 2 คน เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง
แต่เดิม ทีมนี้ตั้งอยู่ที่ ตำบลกอร์ตัน ทางตะวันออก ของเมืองแมนเชสเตอร์ ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่สนามใหม่ ในย่านไฮด์ โรด ของเมืองอาร์ดวิก ใกล้กับแมนเชสเตอร์ และได้เปลี่ยนชื่อทีมไปเป็น “อาร์ดวิกเอเอฟซี” ตามสถานที่ตั้ง จากนั้น อาร์ดวิก ได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลลีกอังกฤษ ในฐานะสมาชิกก่อตั้ง ในระดับดิวิชัน 2 เมื่อปี พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892)
กระทั่งถึง ฤดูกาล 2436 - 2437 (ค.ศ. 1893 - 1894) ทีมมีปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก จนต้องมีการรื้อระบบการบริหารทีมครั้งใหญ่ และเปลี่ยนชื่อเป็น “แมนเชสเตอร์ซิตีฟุตบอลคลับ” จนถึงปัจจุบัน
ทีมได้เริ่มต้นความยิ่งใหญ่ ด้วยการเป็นแชมป์ ฟุตบอลลีกดิวิชัน 2 ของอังกฤษ เป็นแชมป์แรก เมื่อปี พ.ศ. 2442 (ค.ศ. 1899) ทำให้พวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นไปอยู่ในดิวิชัน 1 ลีกสูงสุดของอังกฤษ (ในเวลานั้น) ก่อนจะมาได้แชมป์เอฟเอคัพ หลังเฉือนชนะ โบลตัน 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904)
ขณะที่ผลงานกำลังไปได้ดี แต่กลับเกิดเพลิงไหม้ สนาม "ไฮด์โรด" ในปี พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920) อัฒจันทร์หลักเสียหายอย่างมาก จนทำให้ต้องย้ายไปใช้ สนาม "เมนโรด" เป็นสนามเหย้าแห่งใหม่ ในปี พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923)
กระทั่งในปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) ได้ย้ายสนามเหย้าอีกครั้ง ไปที่ "เอติฮัดสเตเดียม" ซึ่งเป็นสนามปัจจุบัน ที่มีความโอ่อ่าทันสมัย มีความจุถึง 48,000 ที่นั่ง โดยเช่าจากสภาเมืองแมนเชสเตอร์เป็นเวลาถึง 250 ปี และใช้เงินอีกราว 35 ล้านปอนด์ ในการปรับปรุงสนาม หลังจากใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาเครือจักรภพ ในปี พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002)
การย้ายมาใช้สนามเหย้าแห่งใหม่ ทำให้สามารถรองรับแฟนบอลได้มากขึ้น เนื่องจากเป็นทีมที่มีแฟนบอลมากเป็นพิเศษ และติดตามเชียร์อย่างเหนียวแน่นมาตลอด แม้ทีมจะตกลงไปสู่ดิวิชันต่ำๆ ในหลายครั้งก็ตาม ปัจจุบัน ทีมมียอดผู้ชมในนัดเหย้า เฉลี่ยกว่า 39,000 คน ต่อนัด และคาดว่าจะมีชาวอังกฤษไม่ต่ำกว่า 400,000 คน และคนทั่วโลก อีกกว่า 2 ล้านคน ที่เป็นแฟนบอลของทีม

ในยุคที่นับว่ารุ่งเรืองที่สุด คือ ช่วงปลายปี
 พ.ศ. 2500เรื่อยมา เนื่องจากทีมชุดนี้ สามารถขึ้นไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้หลายรายการ โดยมี โจ เมอร์เซอร์ เป็นผู้จัดการทีม และ มัลคอล์ม อัลลิสสัน เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม รวมถึง มียอดนักเตะชื่อดังมากมาย อาทิ โคลิน เบลล์นับตั้งแต่ก่อตั้งทีม กว่า 1 ศตวรรษ มีเกียรติยศที่บันทึกไว้ คือ เป็นแชมป์ลีกสูงสุด 2 สมัย ในปี พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) และ พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968) แชมป์เอฟเอคัพ 4 สมัย แชมป์ฟุตบอลลีกคัพ2 สมัย และ เป็นแชมป์ ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ อีก 1 สมัย
แต่หลังจากเป็นแชมป์ลีกคัพ ในปี พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) พวกเขาก็ไม่ได้ขึ้นถึงตำแหน่งแชมป์ ในรายการสำคัญอีกเลย และยังมีผลงานไม่ค่อยดีนักมาตลอด โดยเฉพาะ ในช่วงปี พ.ศ. 2530 พวกเขาต้องตกชั้น 2 ครั้ง ในรอบ 3 ปี จนลงไปอยู่ใน ดิวิชัน 3 เดิม อยู่ถึง 1 ปี
อย่างไรก็ตาม ทีมก็สามารถกลับขึ้นมาสู่ลีกสูงสุด และยังคงรักษาตัวไว้ได้อย่างมั่นคง แม้ผลงานของทีม มักอยู่ในช่วงกลางตาราง ค่อนไปทางท้ายก็ตาม โดยจบ ฤดูกาล 2006-2007 ในอันดับที่ 14 ของพรีเมียร์ลีก
ในฤดูกาล 2011-2012 แมนเชสเตอร์ซิตี มีผลงานดีมาโดยตลอดตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา โดยขึ้นเป็นที่ 1 ของตารางคะแนน และยึดอันดับนี้มาตลอด และมีบางช่วงที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับร่วมเมืองขึ้นแซงไปเป็นที่ 1 บ้าง จนกระทั่งมาจนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายของการแข่งขัน ทั้งคู่มีคะแนนเท่ากัน คือ 86 คะแนน แต่ผลต่างของประตูได้เสียของแมนเชสเตอร์ซิตีดีกว่าถึง 8 ลูก โดยแมนเชสเตอร์ซิตีจะต้องพบกับ ควีนปาร์คแรนเจอส์ ที่เอติฮัดสเตเดียม สนามของตนเอง ขณะที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายออกไปเยือน ซันเดอร์แลนด์ ซึ่งทั้งคู่ต้องการชัยชนะทั้งคู่ หากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ชนะ แล้วแมนเชสเตอร์ซิตีทำได้แค่เสมอหรือแม้กระทั่งแพ้ แชมป์จะตกอยู่ที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทันที ปรากฏว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เอาชนะซันเดอร์แลนด์ไปได้ 0-1 ประตู แล้วในเกมที่แมนเชสเตอร์ซิตีพบกับควีนปาร์คแรนเจอส์นั้น แมนเชสเตร์ซิตีไม่อาจทำอะไรได้อย่างถนัดถนี่เกือบตลอดการแข่งขัน เพราะนักฟุตบอลแต่ละคนถูกประกบตลอด และกลายเป็นควีนปาร์คแรนเจอร์สขึ้นนำไป 1-2 ประตู ในนาทีที่ 60 จนกระทั่งถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แมนเชสเตอร์ซิตี พลิกกลับขึ้นมานำในนาทีที่ 91 และ 94 อย่างปาฏิหาริย์ ชนะไป 3-2 และได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไปครอง หลังจากรอคอยมานานกว่า 44 ปี
แต่ในฤดูกาลถัดมา แมนเชสเตอร์ซิตีกลับไม่ประสบความสำเร็จ โดยไม่ได้แชมป์อะไรเลย อีกทั้งเมื่อเข้าชิงเอฟเอคัพกับ วีแกนแอธเลติก ซึ่งเป็นทีมขนาดเล็กกว่าที่เพิ่งเคยเข้าชิงแชมป์ถ้วยใบนี้เป็นครั้งแรก ก็กลับเป็นฝ่ายแพ้ไป 0-1 ทำให้หลังจากนั้นไม่นาน ผู้บริหารทีมตัดสินใจปลด โรแบร์โต มันชีนี ผู้จัดการชาวอิตาเลียนออกจากตำแหน่ง




แหล่งที่มา

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Maroon 5

Maroon 5 เป็นวงดนตรีแนวป๊อปร็อกสัญชาติอเมริกันจากลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ในขณะที่พวกเขาเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมอดัม เลวีน ตำแหน่งกีต้าร์และร้องนำ เจสซี คาร์ไมเคิล ตำแหน่งคีย์บอร์ด มิคกี้ แมดเดน ตำแหน่งกีต้าร์เบส และไรอัน ดูซิค ตำแหน่งกลอง ได้ก่อตั้งวงดนตรีแนวการาจร็อกในชื่อ คาราส์ฟลาวเออร์ส (Kara’s Flowers) และออกอัลบั้ม 1 อัลบั้มชื่อ เดอะโฟร์ธเวิลด์ (The Fourth World) ในปี ค.ศ. 1997 เพียงช่วงเวลาไม่นานหลังจากพวกเขากลับมารวมตัวกับเจมส์ วาเลนไทน์ ตำแหน่งกีต้าร์ ที่ชักนำให้วงเปลี่ยนแนวดนตรีไปเป็นแนวป๊อปมากยิ่งขึ้นในชื่อ Maroon 5 ในปี ค.ศ. 2004 พวกเขาออกอัลบั้มเปิดตัวชุดแรก ซองส์อะเบาต์เจน (Songs About Jane) ที่มีเพลงฮิต 4 เพลงได้แก่ “Harder to Breathe”, “This Love”, “She Will Be Loved” และ “Sunday Morning” อัลบั้มนี้ยังประสบความสำเร็จในชาร์ตชื่อดังมากมาย ได้รับรางวัล RIAA จากหลายประเทศทั่วโลก

Kara's+Flowers+-+The+Fourth+World+-+PRESS+PACK-497895

เพื่อโปรโมตอัลบั้ม ซองส์อะเบาต์เจน มารูนไฟฟ์ได้ออกทัวร์ตลอดปี ค.ศ. 2003 – 2005 และเกิดอัลบั้มการแสดงสด 2 อัลบั้มในระหว่างนั้น มารูนไฟฟ์ได้รับรางวัลแกรมมี สาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม (Grammy Award for Best New Artist) ในปี ค.ศ. 2005 ต่อมาดูซิคได้ลาออกจากวงในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 โดยให้เหตุผลว่าได้รับบาดเจ็บจากการทัวร์คอนเสิร์ตอย่างต่อเนื่อง และตำแหน่งถูกแทนที่โดย แมตต์ ฟลินน์ (Matt Flynn) สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 ของมารูนไฟฟ์ในชื่อ อิตโวนท์บีซูนบีฟอร์ลอง (It Won’t Be Soon Before Long) ออกมาในปี ค.ศ. 2007 ด้วยซิงเกิล “Makes Me Wonder” ซึ่งเป็นซิงเกิลแรกที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ของชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100และยังมีซิงเกิลต่อมาเช่น “Won’t Go Home Without You” และ “Wake Up Call” มารูนไฟฟ์แสดงคอนเสิร์ตในการทัวร์ 2 ครั้งระหว่างเดือนมิถุนายน และพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 ในระหว่างนั้นก็มัอัลบั้มรวมเพลงออกมาในชื่อ เดอะบีไซด์คอลเลคชัน (The B-Side Collection)

Maroon-5-maroon-5-50772_1280_800

ในปี ค.ศ. 2008 มีอัลบั้มการแสดงสด 2 อัลบั้มและอัลบั้มรีมิกซ์ 1 อัลบั้มออกมา สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ในชื่อ แฮนด์สออล
โอเวอร์ (Hands All Over) ก็ออกมาในสหรัฐอเมริกาในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2010 ตั้งแต่เปิดตัวใน ค.ศ. 2002 มารูนไฟฟ์ได้ขายอัลบั้มไปมากกว่า 10 ล้านตลับในสหรัฐอเมริกา
ซิงเกิลที่ได้รับความนิยมที่สุดของมารูนไฟฟ์ ซึ่งนับถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 ขายได้มากกว่า 8 ล้านตลับทั่วโลก ได้แก่เพลง “Moves Like Jagger” ซึ่งร้องร่วมโดย คริสตินา อากีเลรา กลายเป็นหนึ่งในซิลเกิลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล
ใน วันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2012 มารูนไฟฟ์ประกาศว่าสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 4 มีชื่อว่า โอเวอร์เอกซ์โพสท์ (Overexposed) ออกมาในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2012ซิงเกิลแรกได้แก่เพลง “Payphone” ซึ่งร้องร่วมโดยนักร้องแร็ป วิซ คาลิฟา เปิดตัวในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ที่อันดับ 3 และขึ้นได้ถึงอันดับที่ 2 ในที่สุด ซิงเกิลที่ 2 ชื่อ “One More Night” กลายเป็นซิงเกิลลำดับ 3 ของพวกเขาที่ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ได้สำเร็จ ในวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ระหว่างทัวร์อัลบั้ม Overexposed ในแอฟริกาใต้นั้น มารูนไฟฟ์แสดงดนตรีต่อหน้าผู้คน 30,000 คนที่ Arena Anhembi เซาเปาโล ประเทศบราซิล ซึ่งเลวีนกล่าวว่าเป็นคอนเสิร์ตสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดของวงจนถึงทุกวันนี้



ปัจจุบันปี 2015 เพลงฮิต Maroom 5  ต้องเพลงนี้เท่านั้น Sugar ปล่อยให้ชมในYoutube วันที่ 14 มกราคม 2015 เพียงแค่สิ้นเดือนมกราคม มียอดผู้เข้าชมไปแล้ว 85,197,255 คน

อ้างอิงจาก

LEGO



LEGO ถือกำเนิดขึ้นจากชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า Ole Kirk Christiansen เขาเป็นช่างไม้ผีมือระดับปรมาจารย์ อาศัยอยู่ในเมืองบิลลุนด์ (Billund) ประเทศเดนมาร์ก ในปี ค.ศ. 1932 ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง ทำให้ธุรกิจของเขาได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้เขาตัดสินใจที่จะผลิตสินค้าหลายชนิดมาจำหน่าย เช่น เครื่องใช้ภายในบ้าน พวกบันได (Stepladders) ที่รองสำหรับรีดผ้า (Ironing Boards) เก้าอี้นั่งเล่นตัวเล็กๆ (Stools) และของเล่นไม้ (Wooden Toys) อาจจะกล่าวได้ว่าหากไม่เกิดวิกฤตการทางเศรษฐกิจในครั้งนั้น Ole Kirk Christiansen คงจะมีอาชีพเป็นเพียงช่างไม้ และตัวต่อ LEGO คงจะไม่ได้เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้


Ole Kirk Christiansen - ผู้ที่ให้กำเนิด LEGO

ในปี ค.ศ. 1934 เขาได้จัดให้มีการแข่งขันตั้งชื่อบริษัทขึ้น โดยรางวัลสำหรับผู้ชนะก็คือ ไวน์หนึ่งขวด! และผู้ที่ชนะก็คือตัวเขานั่นเอง เขาได้นำชื่อ LEGO มาใช้เป็นชื่อบริษัทและชื่อสินค้าที่ผลิตออกมาจำหน่าย ซึ่งคำว่า LEGO มาจากรากศัพท์ภาษาเดนมาร์กว่า "LEg GOdt" มีความหมายว่า “Play Well” หรือแปลสนุกๆ ได้ว่า “เล่นได้เล่นดี” ในขณะที่คำนี้มีความหมายในภาษาลาตินว่า “I assemble” หรือ“I put together” แปลได้ว่า “ประกอบหรือวางเข้าด้วยกัน


ของเล่นไม้ที่ผลิตและจำหน่ายในสมัยนั้น

นอกจากนี้ Ole Kirk Christiansen ยังเป็นคนที่ใส่ใจและไม่เคยละเลยต่อคุณภาพของสินค้า เขาได้ติดป้ายคติพจน์สำหรับการทำงานไว้ในโรงงานว่า “Only the best is good enough" หรือแปลได้ว่า “ต้องดีที่สุดเท่านั้น ถึงจะดีพอ” (คติพจน์นี้ยังคงใช้ต่อมาจนถึงทุกวันนี้) จะเห็นได้จากของเล่นไม้ทุกชิ้นที่เขาผลิตจะมีความประณีตและมีการเคลือบสีถึง 3 ชั้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาสำหรับในยุคสมัยนั้น ครั้งหนึ่ง ลูกชายของเขา Godtfred Kirk Christiansen ที่เริ่มทำงานในบริษัท LEGO ตั้งแต่อายุเพียง 12 ปี ต้องการที่จะประหยัดเงินของบริษัท เลยทำการเคลือบสีของเล่นเพียงแค่ 2 ชั้นเท่านั้น Ole Kirk Christiansen ได้สั่งให้ลูกชายของเขากลับไปทำการเคลือบสีเพิ่ม และบรรจุใส่กล่องใหม่ โดยต้องทำคนเดียวเท่านั้น


Godtfred Kirk Christiansen - คนทางซ้ายมือ

ธุรกิจผลิตของเล่นเล็กๆ ของเขาที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่กลับมีคนงานอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1942 ได้เกิดเหตุการณ์ประท้วงอย่างรุนแรง ทำให้โรงงานของเขาถูกเผาราบเป็นหน้ากอง แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนไม่ยอมแพ้ เขาได้เริ่มสร้างโรงงานขึ้นมาใหม่หลังจากนั้นไม่นาน

ในปี ค.ศ. 1947 LEGO เป็นบริษัทแรกในเดนมาร์กที่ซื้อเครื่องฉีดพลาสติกมาใช้ในการผลิตของเล่น หลังจากนั้น 2 ปี (ปี ค.ศ. 1949) LEGO ได้ผลิตของเล่นพลาสติกและของเล่นไม้ออกมาถึงเกือบ 200 ชนิด รวมถึงได้มีการผลิตของเล่นที่ถือว่าเป็นต้นแบบของตัวต่อ LEGO ขึ้น ชื่อว่า “Automatic Binding Bricks” แต่จำหน่ายเฉพาะในเดนมาร์กเท่านั้น


Automatic Binding Bricks - ต้นแบบของตัวต่อเลโก้ในปัจจุบัน

ในปี ค.ศ. 1950 ลูกชายของเขา Godtfred Kirk Christiansen ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Junior Vice President ในขณะที่มีอายุเพียง 30 ปีเท่านั้น หนึ่งปีหลังจากนั้น (ปี ค.ศ. 1951) ของเล่นพลาสติกมีสัดส่วนการผลิตถึงครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตทั้งหมด ถือเป็นการส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงจากการผลิตของเล่นไม้ไปสู่การผลิตของเล่นพลาสติกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น 

ในปี ค.ศ. 1953 ได้มีการเปลี่ยนชื่อ “Automatic Binding Bricks” ไปเป็น "LEGO Mursten" หรือ "LEGO Bricks" (ตัวต่อเลโก้) อย่างที่เราคุ้นเคยกันทุกวันนี้ และในวันที่ 1 พฤษภาคม 1954 ชื่อ LEGO ก็ได้รับการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการในเดนมาร์ก

ในปี ค.ศ. 1955 LEGO ได้จำหน่ายของเล่นชื่อ "LEGO System of Play" มีทั้งหมด 28 ชุด กับรถแบบต่างๆ อีก 8 คัน ในชุดจะประกอบด้วย อาคาร บ้าน ต้นไม้ รถยนต์ ป้ายสัญลักษณ์จราจรและอื่นๆ ของเล่นชุดนี้ถือเป็นการปฏิวัติวงการของเล่นเลยทีเดียวเพราะผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์การเล่นได้ตามจินตนาการ โดยไม่ถูกจำกัดให้ต้องทำตามคู่มือเท่านั้น 


LEGO System of Play

ในปี ค.ศ. 1957 ได้มีการคิดค้นระบบการเชื่อมต่อด้วยปุ่มและท่อสำหรับตัวต่อเลโก้ (The Stud-and-Tube Coupling System) ลองนึกถึงภาพของตัวต่อเลโก้ที่จะมีปุ่มอยู่ด้านบน (Stud) และมีทรงกระบอกคล้ายท่ออยู่ด้านล่าง (Tube) และสามารถนำแต่ละอันมาต่อเข้าด้วยกันได้ (Coupling) หลังจากนั้นอีก 1 ปี (ปี ค.ศ. 1958) ตัวต่อเลโก้อย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ก็ได้รับการจดสิทธิบัตรและนำออกมาจำหน่ายตามท้องตลาด อย่างไรก็ตามในปีเดียวกันนี้เอง ผู้ก่อตั้งและสร้างตำนาน LEGO Ole Kirk Christiansen ได้เสียชีวิตลง ทำให้ลูกชาย Godtfred Kirk Christiansen ต้องขึ้นดำรงตำแหน่งแทน 


สิทธิบัตรของ LEGO

ในปี ค.ศ. 1960 โกดังเก็บของเล่นไม้เกิดไฟไหม้เสียหายอย่างหนัก กอปรกับการที่ของเล่นพลาสติกได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก ทำให้บริษัทตัดสินใจที่จะหยุดการผลิตของเล่นไม้และมุ่งเน้นแต่ของเล่นพลาสติกแทน

ในปี ค.ศ. 1963 บริษัท LEGO ได้นำวัสดุชนิดใหม่ที่ดีกว่าคือ ABS (Acrylnitrile Butadiene Styrene) มาใช้แทนวัสดุชนิดเดิมคือ Cellulose Acetate ในการผลิตตัวต่อเลโก้ วัสดุใหม่นี้มีความคงทนมากกว่า มีสีสันมากกว่า ผลิตได้ไวกว่า และทำให้การผลิตมีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้นถึง 0.005 มม.

ในปี ค.ศ. 1967 LEGO ได้ออกแบรนด์ใหม่ชื่อว่า The DUPLO® brick เป็นตัวต่อเลโก้ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ 8 เท่า (กว้างกว่า 2 เท่า ยาวกว่า 2 เท่า และสูงกว่า 2 เท่า) สำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี เพื่อป้องกันอุบัติเหตุเด็กกลืนตัวต่อเลโก้ และในปีถัดมา (ปี ค.ศ. 1968) ได้มีการเปิด LEGOLAND® Billund ขึ้นในวันที่ 7 มิถุนายน 1968 


เปรียบเทียบขนาด LEGO Brick ปกติกับ Duplo Brick 

ในปี ค.ศ. 1973 ได้มีการนำเอาโลโก้ใหม่ของ LEGO มาใช้แทนทุกๆ โลโก้เดิมของ LEGO โดยสินค้าทุกประเภทของบริษัท LEGO จะใช้โลโก้อันใหม่นี้อันเดียวเพื่อความเป็นเอกภาพ 


โลโก้ของ LEGO ที่เราคุ้นเคยกันและใช้มาจนถึงปัจจุบัน

ในปี ค.ศ. 1977 LEGO ได้ออก LEGO TECHNIC เป็นโมเดลที่มีกลไกและมอเตอร์ สำหรับเด็กที่โตขึ้นมา และในปีเดียวกันนี้ Kjeld Kirk Kristiansen* ทายาทรุ่นที่ 3 ได้เข้าร่วมทำงานกับทีมบริหารของ The LEGO Group และ 2 ปีต่อมา (ปี ค.ศ. 1979) เขาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น President และ Chief Executive Officer ของ INTERLEGO A/S

*ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่านามสกุลของ Kjeld Kirk Kristiansen จะสะกดด้วยตัว K แตกต่างจากพ่อ Godtfred Kirk Christiansenและปู่ Ole Kirk Christiansen ที่สะกดด้วยตัว C สาเหตุก็เพราะบาทหลวงได้สะกดชื่อเขาผิดตอนที่ใส่ชื่อไว้ในบันทึกของโบสถ์


Kjeld Kirk Kristiansen

ในปี ค.ศ. 1986 Godfred Kirk Christiansen ได้ลาออกจากการเป็นประธานกรรมการของ LEGO System A/S และ LEGO Overseas และให้ Kjeld Kirk Kristiansen ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน

ในปี ค.ศ. 1990 The LEGO Group เป็นบริษัทผลิตของเล่นเพียงแห่งเดียวในยุโรปที่ติด 1 ใน 10 ผู้ผลิตของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ที่เหลือเป็นบริษัทของอเมริกาและญี่ปุ่น)

ในปี ค.ศ. 1995 Godfred Kirk Christiansen ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 13 กรกฎาคม 1995

ในปี ค.ศ. 1996 ได้มีการเปิดเว็บไซต์ www.lego.com และในวันที่ 29 มีนาคม ปีเดียวกัน ได้มีการเปิด LEGOLAND Windsorที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือเป็นเลโก้แลนด์แห่งแรกที่อยู่นอกประเทศเดนมาร์ก

ในปี ค.ศ. 1999 ตัวต่อเลโก้ (LEGO Bricks) ได้รับการเสนอชื่อเป็นหนึ่งใน ผลิตภัณฑ์แห่งศตวรรษ (Products of the Century) โดยนิตยสารฟอร์จูน (Fortune Magazine)

ในปี ค.ศ. 2003 The LEGO Group ประกาศผลกำไรที่มหาศาลถึง 1.4 พันล้าน DKK (เงินสกุลเดนมาร์ก) 

จนถึง ณ ปัจจุบัน LEGO Group ยังคงเป็นบริษัทที่ดำเนินงานและเป็นเจ้าของโดยครอบครัว Kirk Christiansen 

ขอปิดท้ายด้วยรูปครอบครัว Kirk Christiansen ผู้สร้างตำนาน LEGO 


อ้างอิงจาก :

http://www.thaibrickclub.com/forum/index.php?topic=19.0
http://www.komchadluek.net/news/ent/138120
http://www.raisegeniusschool.com/%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%89/